เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
     แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้การกระจายข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทุกทิศทาง และมีระบบตอบสนอง ด้วยเหตุนี้ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ผลของความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายด้าน แนวโน้มที่สำคัญที่เกิดจากเทคโนโลยีที่สำคัญและเป็นที่กล่าวถึงกันมาก ดังนี้
     1) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ สภาพของสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงมาแล้วสองครั้ง จากสังคมความเป็นอยู่แบบเร่ร่อนมาเป็นสังคมเกษตรที่มีการเพาะปลูกและสร้างผลิตผลทางการเกษตร ทำให้มีการสร้างบ้านเรือนเป็นหลักแหล่ง ต่อมามีความจำเป็นต้องผลิตสินค้าให้ได้ปริมาณมากและต้นทุนถูก จึงต้องหันมาผลิตแบบอุตสาหกรรม ทำให้สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์เปลี่ยนแปลงมาเป็นสังคมเมือง มีการรวมกลุ่มอยู่อาศัยเป็นเมือง มีอุตสาหกรรมเป็นฐานการผลิต สังคมอุตสาหกรรมได้ดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน และเข้าสู่สังคมสารสนเทศ การดำเนินธุรกิจใช้สารสนเทศอย่างกว้างขวาง เกิดคำใหม่ว่า ไซเบอร์สเปซ มีการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เช่น การพูดคุยผ่านอินเทอร์เน็ต การซื้อสินค้าและบริการ ฯลฯ
     2) เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีแบบตอบสนองตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน เช่น การดูโทรทัศน์ วิทยุ เมื่อเราเปิดเครื่องรับโทรทัศน์หรือวิทยุ เราไม่สามารถเลือกตามความต้องการได้ หากไม่พอใจก็ทำได้เพียงเลือกสถานีใหม่ แนวโน้มจากนี้ไปจะมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่เรียกว่า on demand เราจะมีโทรทัศน์และวิทยุแบบเลือกดู เลือกฟังได้ตามความต้องการ หากระบบการศึกษาจะมีระบบ education on demand คือสามารถเลือกเรียนตามต้องการได้ การตอบสนองตามความต้องการ เป็นหนทางที่เป็นไปได้ เพราะเทคโนโลยีมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าจนสามารถนำระบบสื่อสารมาตอบสนองตามความต้องการของมนุษย์
     3) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้เกิดสภาพการทำงานแบบทุกสถานที่ และทุกเวลา เมื่อการสื่อสารก้าวหน้าและแพร่หลายขึ้น การโต้ตอบผ่านเครือข่ายทำให้มีปฏิสัมพันธ์ได้ เกิดระบบการประชุมทางวีดิทัศน์ ระบบประชุมบนเครือข่าย ระบบโทรศึกษา ระบบการค้าบนเครือข่าย ลักษณะของการดำเนินงานเหล่านี้ ทำให้ผู้ใช้ขยายขอบเขตการดำเนินกิจกรรมไปทุกหนทุกแห่งตลอด 24 ชั่วโมง เราจะเห็นจากตัวอย่างที่มีมานานแล้ว เช่น ระบบเอทีเอ็ม ทำให้การเบิกจ่ายได้เกือบตลอดเวลา และกระจายไปใกล้ตัวผู้รับบริการมากขึ้น และด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น การบริการจะกระจายมากยิ่งขึ้นจนถึงที่บ้าน ในอนาคตสังคมการทำงานจะกระจายจนงานบางงานอาจนั่งทำที่บ้านหรือที่ใดก็ได้ และเวลาใดก็ได้
     4) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบท้องถิ่นไปเป็นเศรษฐกิจโลก ระบบเศรษฐกิจซึ่งแต่เดิมมีขอบเขตจำกัดภายในประเทศ ก็กระจายเป็นเศรษฐกิจโลก ทั่วโลกจะมีกระแสการหมุนเวียนแลกเปลี่ยนสินค้า บริการอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีส่วนเอื้ออำนวยให้การดำเนินการมีขอบเขตกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศในโลกเชื่อมโยงและมีผลกระทบต่อกัน
     5) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้องค์กรมีลักษณะผูกพันหน่วยงานภายในเป็นแบบเครือข่ายมากขึ้น แต่เดิมการจัดองค์กรมีการวางเป็นลำดับขั้น มีสายการบังคับบัญชาจากบนลงล่าง แต่เมื่อการสื่อสารแบบสองทางและการกระจายข่าวสารดีขึ้น มีการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในองค์กรผูกพันกันเป็นกลุ่มงาน มีการเพิ่มคุณค่าขององค์กรด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดโครงสร้างขององค์กรจึงปรับเปลี่ยนจากเดิม และมีแนวโน้มที่จะสร้างองค์กรเป็นเครือข่ายที่มีลักษณะการบังคับบัญชาแบบแนวราบมากขึ้น หน่วยธุรกิจจะมีขนาดเล็กลง และเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอื่นเป็นเครือข่าย โครงสร้างขององค์กรจึงเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของเทคโนโลยี 
     6) เทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการระยะยาวขึ้น อีกทั้งยังทำให้วิถีการตัดสินใจรอบคอบมากขึ้น แต่เดิมการตัดสินปัญหาอาจมีหนทางให้เลือกได้น้อย เช่น มีคำตอบเดียว ใช่ และ ไม่ใช่ แต่ด้วยข้อมูลข่าวสารที่สนับสนุนการตัดสินใจ ทำให้วิถีความคิดในการตัดสินปัญหาเปลี่ยนไป ผู้ตัดสินใจมีทางเลือกได้มากและมีความรอบครอบในการตัดสินปัญหาได้ดีขึ้น 
     7) เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีเดียวที่มีบทบาทที่สำคัญในทุกวงการ ดังนั้นจึงมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม ศีลธรรม การศึกษาเศรษฐกิจและการเมืองได้อย่างมาก ลองนึกดูว่าขณะนี้เราสามารถชมข่าว ชมรายการทีวี ที่ส่งกระจายผ่านดาวเทียมของประเทศต่างๆ ได้ทั่วโลก เราสามารถรับรู้ข่าวสารได้ทันที เราใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการสื่อสารระหว่างกัน และติดต่อกับคนได้ทั่วโลก จึงเป็นที่แน่ชัดว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจึงมีลักษณะเป็นสังคมโลกมากขึ้น
 
 
 
บทบาทเทคโนโลยีการสื่อสารกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
           จำเลยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นอันดับหนึ่งในสายตาของนักการสื่อสาร คงจะหนีไม่พ้น "สื่อมวลชน" (Mass Media) ตามความคิดตามทฤษฎีสังคมมวลชน และเศรษฐศาสตร์การเมือง สื่อมวลชนถือเป็นกลไกหลักในการกระตุ้นให้สภาพสังคมชนบทเปลี่ยนแปลงไปเป็นสภาพสังคมเมือง หากมองถึงบริบทของพฤติกรรมโดยตัดเรื่องสภาพทางภูมิศาสตร์ของท้องถิ่นออกไป พฤติกรรมของคนในเขตพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมืองก็เริ่มที่จะคล้ายกับคนที่ใช้อยู่ในเมืองมากขึ้นทุกทีเห็นได้จากตัวอย่างที่กล่าวไปแล้ว และเมื่อพิจารณาขึ้นไปอีกถึงความเป็นตัวแทนของสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่อยู่ในสังคมก็คงต้องมองว่าสื่อมวลชนทำหน้าที่เพื่อสังคม กลุ่มนักการเมือง หรือกลุ่มนายทุน คำตอบคงขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน
            แต่บทบาทในการสื่อสารของสื่อมวลชนคงจะหลีกหนีไม่พ้นเรื่องของ "อำนาจ" หลายคนคงเคยได้ยินว่าการสื่อสารคืออำนาจ ใครก็ตามที่สามารถสื่อสารได้รวดเร็ว กว้างขวาง เข้าถึง คนจำนวนมากได้เท่าไหร่ คนผู้นั้นก็ย่อมจะมีอำนาจมากเท่านั้น เรื่องเหล่านี้นักการตลาดน่าจะเป็นผู้เข้าใจได้มากที่สุด เพราะหากการสื่อสารสามารถเข้าถึงในระดับปัจเจกบุคคลได้รวดเร็วเท่าไหร่ นั่นเท่ากับว่ากระบวนการสร้างความหมายและการโน้มน้าวใจได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นการจะชักจูงให้เกิดพฤติกรรม หรือการสร้างทัศนคติ อุดมการณ์ย่อมถูกแฝงไปในการสื่อสารเหล่านั้นด้วย
            สิ่งที่จำเป็นที่สุดที่จะนำพาอุดมการณ์ ทัศนคติที่ถูกปรุงแต่งแทรกอยู่ในเนื้อหาของสื่อมวลชนได้แนบเนียนเป็นอย่างดี นั่นก็คือ เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) นับตั้งแต่ยุคแห่งวัฒนธรรมการพูด (Oral Culture) ที่เห็นเด่นชัดได้ในยุคกรีกที่มักจะใช้วิธีการพูดในที่สาธารณะเป็นเครื่องมือในแพร่กระจายอำนาจไปสู่คนอื่นๆ คนที่พูดในที่สาธารณะก็คือผู้นำนั่นเอง เมื่อโรมันเริ่มเข้ายึกครองกรีก ก็ได้เผยแพร่วัฒนธรรมการเขียน (Written Culture) ทำให้สามารถเผยแพร่แนวความคิด อุดมการณ์ และการควบคุมได้กระจายออกไปจากการเขียนใส่ในกระดาษ โดยอาศัยการเคลื่อนย้ายข้อมูลข่าวสารด้วยม้าเร็ว
เมื่อกูเต็นเบิร์กผลิตแท่นพิมพ์ และสามารถพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลได้ในปี ค.ศ. 1453 ตั้งแต่นั้นจึงถือว่าเป็นการเริ่มต้นของยุคแห่งวัฒนธรรมการพิมพ์ ด้วยการผลิตแบบอุตสาหกรรมทำให้สื่อสิ่งพิมพ์ได้แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทำได้กว้างไกล และข้อมูลข่าวสารค่อนข้างคงทนสามารถอ่านซ้ำใหม่ๆ ได้หลายครั้ง แต่เทคโนโลยีการสื่อสารที่มาควบคู่กับการเกิดขึ้นของไฟฟ้าก็เริ่มเกิดขึ้นมาใหม่ๆ เป็นจำนวนมาก จนในกระทั่งเกิดยุคใหม่ของเทคโนโลยีการสื่อสารในศตวรรษที่ 19 นั่นก็คือยุควัฒนธรรมอิเลคทรอนิกส์ จนถึงปัจจุบัน
ในแต่ละช่วงของวัฒนธรรมของเทคโนโลยีการสื่อสารก็มีผลต่อสังคมในระดับที่แตกต่างกันออกไปตามศักยภาพของตัวสื่อ (Media) ที่ชนชั้นนายทุนจะเป็นผู้ออกแบบ มีน้อยคนนักที่จะสังเกตว่าในปัจจุบันข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลมาสู่ผู้คนนั้นมาจากแหล่งข่าวหรือสำนักข่าวเพียงไม่กี่แหล่งเท่านั้น และสำนักข่าวที่สำคัญของโลกมักอยู่ในฝั่งตะวันตก ทั้งในรูปแบบของสื่ออิเลคทรอนิกส์ และสื่อสิ่งพิมพ์ที่ต่างก็ได้รับข้อมูลข่าวสาร ค่านิยม เช่น ค่านิยมการสะสมวัตถุ ค่านิยมการแต่งตัว ค่านิยมการดำเนินชีวิต  อุดมการณ์ เช่น อุดมการณ์ประชาธิปไตย ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนติดสอยห้อยตามมากับเทคโนโลยีการสื่อสารทั้งสิ้น ดังนั้นสิ่งที่จะต้องวิเคราะห์ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีการสื่อสารกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ในการมองความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีการสื่อสารกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม มีแนวคิดแบ่งออกเป็น 2 ขั้วใหญ่ๆ สำนักโตรอนโต (Toronto School) มองว่า เทคโนโลยีการสื่อสารเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคม ส่วนสำนักวัฒนธรรมนิยม (Culturalism) มองว่าสังคมเปลี่ยนแปลงต่างหากถึงจะเลือกเทคโนโลยีการสื่อสารมาใช้ ทั้งสองสำนักนี้แยกตัวออกมาจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง ตามแนวคิดของ มาร์ก (Marxism)
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น